มิติหุ้น – นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ปี 2566 เป็นปีที่ท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัยภายหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) โดยแอลพีเอ็นกำหนดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีตามแนวคิด “Transform for Better Living” เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนทุกวัย และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านการพัฒนาและการออกแบบที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ เพื่อสร้างรายได้รวม 50,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2569 ตามแผนโรดแมป 5 ปี
“ปี 2566 เป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ที่ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสถดถอย อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทฯ จึงวางแผนยกระดับการบริหารจัดการเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่การนำร่องเผยโฉมรูปลักษณ์ใหม่ของการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ ‘168’ ดังที่ได้เห็นมาบ้างแล้วในช่วงปี 2565 ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับแอลพีเอ็นได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงแผนการขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยไปสู่โครงการบ้านพักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนสามารถปิดการขายโครงการ BAAN 365 RAMA 3 ไปเป็นที่เรียบร้อย” นายโอภาสกล่าว
โดยการก้าวสู่มิติใหม่ของแอลพีเอ็นที่ยึดความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาองค์กรเป็นสำคัญ แอลพีเอ็นจึงมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ของแบรนด์ ‘168’ รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภายในให้สามารถกระจายรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% ต่อปี ตามแผนการขับเคลื่อนองค์กร ‘Turnaround” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องมาถึงปี 2566 ประกอบด้วย
1) Corporate Transformation: หลังจากที่ได้มีการแยกโครงสร้างการบริหารบริษัท แอล.พี.พี.พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) เป็นอิสระในปี 2565 โดยแอลพีเอ็นยังคงถือหุ้น 100% ซึ่งในปัจจุบัน แอลพีเอ็นจึงดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการพัฒนาอาคารชุดและบ้านพักอาศัยอย่างครบวงจร ในทุกระดับราคา เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในทุกกลุ่มเป้าหมาย
2) Management Transformation: ในปี 2565 แอลพีเอ็นได้มีการจัดโครงสร้างการบริหารภายในสู่การบริหารในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จาก 4 หน่วยธุรกิจ ที่ประกอบด้วย 1) คอนโดมิเนียม 2) บ้านพักอาศัยกลุ่ม Value 3) บ้านพักอาศัยกลุ่ม Premium และ 4) ธุรกิจเช่าอาศัย โดยในปี 2566 จะเพิ่มเป็น 5 หน่วยธุรกิจ โดยเพิ่มหน่วยธุรกิจเพื่อพัฒนาบ้านพักอาศัยกลุ่ม Value อีก 1 หน่วย เพื่อ สอดคล้องกับแผนการขยายงานในปี 2566 และเพิ่มยอดขายจากการขายคอนโดมิเนียมพร้อมผู้เช่าผ่านงานบริการและการปล่อยเช่า เพื่อตอบโจทย์การขายนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก แต่ยังคงมีความเสี่ยงต่ำจากการบริหารงานอย่าง มืออาชีพจากแอลพีเอ็น
3) Project Development Transformation: ในปี 2566 แอลพีเอ็นได้วางแผนพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการภายใต้แบรนด์ ‘168’ ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และเป็นที่พักอาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (Livable Community) ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของการสร้างสรรค์โครงการต่างๆ เพื่อตอบรับ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในปัจจุบัน อาทิ การติด ตั้ง EV Charger และ Solar Cell ในทุกโครงการ พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตบนทำเลศักยภาพ
4) Digital Transformation: แอลพีเอ็นตั้งเป้าหมายการบริหารจัดการองค์กรแบบ “Fully DigitalOrganization” ในทุกหน่วยงานให้สมบูรณ์แบบภายในปี 2567 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน พร้อม ทั้งสนับสนุนงานด้านการตลาด การขาย รวมไปถึงด้านการออกแบบและการบริการ รองรับการสร้างฐานลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในหลากหลายช่องทาง และตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันและอนาคต
5) Brand Transformation: ในปี 2566 นี้จะเป็นปีแห่งการขยายการรับรู้และสร้างประสบการณ์ใหม่ของแอลพีเอ็นทั้งกลุ่มเป้าหมายเดิมและขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมาตลอด 34 ปี โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ครั้งใหม่เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการปักหมุดใหม่ของแบรนด์แอลพีเอ็นผ่านเส้นสายที่สอดประสานกันอย่างลงตัวมากขึ้น สะท้อนแนวคิดในการทำงานและการพัฒนา แบรนด์สู่ความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้แอลพีเอ็นยังพร้อมเปิดโอกาสในการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าทางธุรกิจ (Collaboration & Partnership) ในด้านต่างๆ เพื่อเสริมสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการปรับรูปแบบการทำงานภายในองค์กร อาทิ วิธีการทำงานที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก และพร้อมดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าร่วมงานด้วยในอนาคต #striveforexcellence
“นอกจากการวางกลยุทธ์ธุรกิจดังกล่าว ในปี 2566 แอลพีเอ็นยังกำหนดให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยวางแนวทางการบริหารจัดการก๊าซ CO2 ภายใต้แนวทาง Carbon Neutrality (อัตราการปล่อย CO2 เท่ากับอัตราการดูดซับของ CO2) และดำเนินนโยบายการบริหารจัดการโครงการก่อสร้างทุกโครงการโดยมุ่งเน้น “ขยะเป็นศูนย์” (Zero Waste) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในประเทศไทยลงมา 20-25% ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับการทำงานของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่การนำหลักการออกแบบอาคารเขียวของสากลมาปรับใช้ในการพัฒนาโครงการตั้งแต่ปี 2552 และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในกระบวนการหลักและปฏิบัติจนกลายเป็นมาตรฐานภายใต้แนวคิด 6 Green LPN” นายโอภาสกล่าว
ภายใต้การปรับกลยุทธ์องค์กรดังกล่าว นายโอภาส กล่าวว่า ในปี 2566 แอลพีเอ็นได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 7,600 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 20 % จากปี 2565 โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “168” แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 5,000ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 13 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท โดยพร้อมเปิดพรีเซลล์ 3 โครงการที่พักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์ / Maison 168 เมืองทอง และ Villa 168 เวสต์เกต พร้อมกันในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์นี้ และมีกำหนดเริ่มส่งมอบโครงการในปี 2566 จำนวน 14 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ เอกชัย 48 และลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 (เฟส 3) และบ้านพักอาศัย 12 โครงการ ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์, Residence 168 อ่อนนุช 46, Maison 168 เมืองทอง, Villa 168 เวสต์เกต, Venue 168 เวสต์เกต, Venue 168 คูคต สเตชั่น, Venue 168 ราชพฤกษ์, Haus 168 เวสต์เกต, Haus 168 คูคต สเตชั่น, Haus 168 ราชพฤกษ์, และโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ
สำหรับในปี 2565 แอลพีเอ็นมีรายได้รวม 6,136 ล้านบาท เติบโต 42% เมื่อ เทียบกับปี 2564 แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 3,769 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2,064 ล้านบาท และรายได้จากการธุรกิจเช่า 303 ล้านบาท รวมทั้งยังมีรายได้พิเศษจากการขายอาคารสำนักงาน 2,590 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 1,845 ล้านบาท ที่จะสร้างรายได้ในปี 2566-2568 และสินค้าคงเหลือ (Inventory) มูลค่า 7,000 ล้านบาท
“ปี 2566 นี้จะเป็นปีแรกในรอบ 5 ปีของแอลพีเอ็นที่จะขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในต่างจังหวัด อีกครั้ง หลังจากที่เคยเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดอุดรธานี ชลบุรี พัทยา และชะอำ มาแล้ว เนื่องจาก เห็นโอกาสในการขยายการลงทุนตามการขยายตัวของเมือง เส้นทางคมนาคม และความต้องการของผู้ซื้อ โดยแอลพีเอ็นจะเน้นขยายการพัฒนาโครงการไปในจังหวัดที่มีศักยภาพในการขยายตัวและกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะ ในทำเลเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)” นายโอภาสกล่าวเสริม
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://demo.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon