DITP – NEA ตอกย้ำความสำเร็จ NEA BizTalk Series เร่งเครื่องติดอาวุธผู้ประกอบการลุยเจาะตลาดส่งออกทั่วโลก

39

มิติหุ้น – สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ประกาศความสำเร็จ “NEA BizTalk Series”: ก้าวทันการค้าโลก” ยกระดับผู้ประกอบการไทย รู้ รับ ปรับตัว ให้ทันการค้ายุคใหม่ 6 ตลาดส่งออกระดับโลก พร้อมเดินหน้าสานต่อโครงการ ปี 2566 วิเคราะห์เจาะลึกกลยุทธ์การส่งออกครอบคลุมตลาดทั่วโลก ลุยเพิ่มอีก 6 ตลาดการค้า “อเมริกาเหนือ–ลาตินอเมริกา–ยุโรปตะวันตก–ยุโรปตะวันออก–ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์–แอฟริกา” เพิ่มโอกาสขยายส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดโลก

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ภายใต้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำโครงการ “เจาะลึกตลาดต่างประเทศในยุคการค้าใหม่” ภายใต้โครงการพัฒนา SMEs ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ประจําปี 2565 ในรูปแบบงานเสวนาออนไลน์ “NEA BizTalk Series” : ก้าวทันการค้าโลก” เพื่อเสริมสร้างความรู้ การวิเคราะห์ตลาดเชิงลึก ช่องทางและโอกาสทางการตลาด หลังการแพร่ระบาดของโควิด–19 ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบนโยบายเพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ตลาดเกาหลี ตลาดอินเดีย ตลาดอาเซียน ตลาดจีน/ฮ่องกง และตลาดญี่ปุ่น รวมทั้งสิ้น 6 กลุ่มตลาด โดยจัดขึ้น 6 ครั้งอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2565

งานเสวนา “NEA BizTalk Series”: ก้าวทันการค้าโลก” ได้กระแสตอบรับที่ดีมากเกินเป้าหมายที่วางไว้มีผู้เข้าร่วมสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ (Zoom) มากกว่า 900 ราย โดยยังไม่รวมถึงการเข้าร่วมผ่านออนไลน์แพลตฟอร์ม อื่นๆ ทั้ง Facebook และ Youtube  ทำให้ผู้ประกอบการรวมถึงประชาชนที่สนใจได้รับทราบข้อมูลแบบวิเคราะห์เจาะลึก โดย ตลาด MENA เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีตราสินค้าของตนเอง และมีนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่าง ตลาดเกาหลี สินค้าไทยมีข้อได้เปรียบจากสิทธิพิเศษทางการค้า ผู้ส่งออกต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ตลาดอินเดีย เป็นตลาดขนาดใหญ่ ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและมีความหลากหลาย ตลาดอาเซียน สินค้าไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีและมีภูมิศาสตร์ที่อำนวยความสะดวกด้านการส่งออก ตลาดจีน/ฮ่องกง ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและความคุ้มค่าของสินค้า และตลาดญี่ปุ่น เป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้าที่มีมาตรฐานสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งโดยภาพรวมคือ ผู้ส่งออกต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า ศึกษากฎระเบียบทางการค้า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด–19 ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

นายภูสิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ มีแผนที่จะต่อยอดการจัดงานเสวนา NEA BizTalk Series ให้ครอบคลุมตลาดส่งออกทั่วโลกมากขึ้น ในอีก 6 ตลาดการค้า ได้แก่ ตลาดอเมริกาเหนือ ตลาดลาตินอเมริกา ตลาดยุโรปตะวันตก ตลาดยุโรปตะวันออก ตลาดออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ และตลาดแอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.–ก.ค. 2565) ไทยส่งออกไปยังตลาดอเมริกาเหนือ มูลค่า 31,440 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก 3 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนตลาดออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ มีมูลค่ารวม 7,420 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องปรับอากาศ ในขณะที่ตลาดแอฟริกา มูลค่า 3,930 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น เพื่อให้ผู้ส่งออกนำความรู้และข้อมูลการตลาดเชิงลึกไปพัฒนาธุรกิจให้สามารถแข่งขันในเวทีการค้ายุคใหม่และสร้างรายได้เข้าประเทศ

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการด้านการค้าระหว่างประเทศได้ที่ Facebook : สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1169 กด 1

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp