Fed ขึ้นดอกเบี้ย VS สงครามการค้า….ความกลัวที่แตกต่าง

235

สวัสดีครับ ท่านนักลงทุนทุกท่าน หลายคนคงยังไม่ลืมภาพที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ลดลงแรงกว่า 3,257 จุด (-12%) ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์  เช่นเดียวกับ SET Index ที่ลดลงจากจุดสูงสุดที่ระดับ 1,848 จุด ในเดือน ม.ค.และ ไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1,758 จุด ลดลง 90 จุด หรือ 5% ภายในเวลา 2 สัปดาห์เช่นกัน โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดเกิความผันผวนในครั้งนั้นเป็นเพราะนักลงทุนวิตกกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของสหรัฐ และประเทศอื่นๆทั่วโลกจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกดดันให้ Fed อาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ย หรือ แตะเบรคความร้อนแรง แต่ภายหลังจากที่หาย Panic ตลาดหุ้นของประเทศต่างๆก็ทยอยฟื้นตัว และต่างเฝ้าจับตามมองว่า Factor ที่เรากำลังวิตกมันจะเกิดขึ้นจริงหรือป่าวโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมไปถึงการประชุมของเฟดในวันที่ 20-21 มี.ค.ว่าจะปรับขึ้นจำนวนครั้งของการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ อ้าวแล้วทำไมไปจ้องที่ประเด็นของจำนวนครั้งไม่กลัวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้หรอ ต้องบอกตรงๆเลยครับว่าเขามองข้ามเรื่องขึ้นดอกเบี้ยสำหรับการประชุมในเดือน มี.ค.กันไปหมดแล้วเพราะเชื่อว่ายังไงเฟดก็ขึ้นดอกเบี้ยอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สนใจอยู่ที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้มากกว่า ว่าจะขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ เพราะในช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณกลายๆว่า Fed อาจจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 3 ครั้งก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการเฟดหลายท่านยังไม่ได้ใส่ปัจจัยเรื่องลดภาษีของโดนัลทรัมป์

ในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังฟื้นตัวเพราะซึมซับความกลัวเรื่องเงินเฟ้อและเฟดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว อยู่ๆ โดนัล ทรัมป์ ก็ปล่อยหมัดเด็ดออกมากดดันตลาดอีกรอบ ด้วยการประกาศจะจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ ประเด็นนี้จุดต่อมความกลัวเรื่องสงครามการค้าขึ้นมาในทันที แม้ข่าวดังกล่าวจะกดดันตลาดไม่มากเหมือนกับช่วงปลายเดือนม.ค. แต่อย่าพึ่งมองข้ามหรือชะล่าใจกันไปนะครับเพราะหากมาตรการนี้มีการประกาศจริงผมว่ามันเป็นปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัวมากกว่าเมื่อเทียบกับเฟดขึ้นดอกเบี้ยเยอะ

ลองนึกดูนะครับว่ามันจริงหรือเปล่า เริ่มจาก FED ขึ้นดอกเบี้ย คือ อะไรครับ คือกลัวว่าเศรษฐกิจมันจะร้อนแรงเกินไปเขาเลยต้องแตะเบรคเอาไว้ก่อนซึ่งประเด็นนี้ตลาดหุ้นยังมีโอกาสไปต่อ เพราะตาบใดที่กำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นยังไงหุ้นก็ยังน่าสนใจอยู่ดี ตรงกันข้ามกับสงครามการค้า (Trade war) ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วครับ “สงคราม” ไม่มีอะไรดีแน่นอน มีแต่เสีย ไม่ว่าคุณจะแพ้หรือชนะ ดังนั้น Trade war จึงดูรุนแรงกว่า Fed ขึ้นดอกเบี้ยเพราะมันไม่ใช่แค่เบรคความร้อนแรงแต่มันเป็นการทำลายเศรษฐกิจ ทำให้ World GDP มีแต่ลดลง และจะกระทบเป็นวงกว้างหากแต่ละประเทศต่างออกมาตรการตอบโต้ซึ่งกันและกัน ผมได้แต่หวังว่าในท้ายที่สุดแล้วมาตรการนี้จะไม่มีใครใช้มันอย่างเป็นทางการนะครับโดยเฉพาะสหรัฐ

Disclaimer:  เอกสาร/รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นบนพื้นฐานข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งพิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม บมจ.หลักทรัพย์กรุงศรี มิอาจรับรองความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ บทความดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดของผู้จัดทำเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงความเห็นหรือประมาณการต่างๆที่ปรากฏในเอกสาร/รายงานฉบับนี้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าดังนั้นนักลงทุนโปรดใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบในการพิจารณาการลงทุน